วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

เครื่องดื่มสุขภาพ - พั้นช์ขิง

ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิมคร่าา เพราะเราเป็นเครื่องดื่ม แถมยังเป็นน้ำพันช์อีกด้วย ว้าว!ทีนี้น้ำพันช์เพื่อสุขภาพจะเป็นยังไงน้าา

ส่วนผสม (จำนวน 2 แก้ว)
ขิงแก่หั่นชิ้น 1/2 ถ้วย
น้ำสัปปะรด 1 ถ้วย
น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
-
ใส่ขิงแว่นลงในเครื่องแยกกาก-น้ำ สกัดเอาแต่น้ำขิง แล้วจึงผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แช่เย็น รินใส่แก้วดื่ม


หมายเหตุ :ขิง พืชสมุนไพร ที่มีกลิ่นหอมรสเผ็ด ที่เน้อของขิงนั้นอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยป้องกันอาการเมารถ เมาเรือ ป้องกันเลือดจับตัวแข็งเป็นก้อน ช่วยกระตุ้นการทำงาน ของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร เป็นยาขับลมจากกระเพาะและลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ การทำพั้นช์ขิงนี้ แสนง่าย เพียงแต่ละเอียดในการเลือกขิงสักหน่อย โดยเลือกขิงแก่ ผิวเรียบ ไม่มีรอยตำหนิ ปอกเปลือกขิงแล้วล้างให้สะอาด หั่นขิงออกเป็นแว่น




เครดิต : http://www.yourhealthyguide.com/

ต้มยำสารพัดเห็ด

โอ้ย เห็ด... เห็ด... เห็ด... ทำไมมีแต่เห็ดเนี่ย? สงสัยแล้วใช่มั้ยหละคะว่าทำไมเมนูนี่ถึงได้มีแต่เห็ดเนี่ย ก็เพราะว่าเห็ดมีประโยชน์แก่เรามากมายเลยค่ะ อย่างเช่นช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆอีกด้วย เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง เป็นต้นค่ะ
ได้ขึ้นชื่อว่าต้มยำก็ต้องทั้งอร่อยและมีประโยชน์ แถมยังมีเห็ดซึ่งมีประโยชน์มากมายขนาดนี้อีก รู้อย่างนี้แล้ว เราไปดูส่วนผสมกันเลยดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม
มะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง
เห็ดฟาง 1/2 ถ้วยตวง
เห็ดนางฟ้า 1/2 ถ้วยตวง
เห็ดหอมสด 1/2 ถ้วยตวง
เห็ดหูหนูขาวสด 1 ดอกแช่น้ำพออิ่ม
กุ้งสด 3-4 ตัว
ข่าหั่นเป็นแว่น ๆ 5 แว่น
ตะไคร้ 2 ต้น หั่นเป็นท่อนๆ
ใบมะกรูด 3 ใบฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำพริกเผา 1/4 ถ้วยตวง
ผักชี 2 ต้นเด็ดเป็นใบๆ น้ำมะนาวตามใจชอบ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำปลาตามใจชอบ


วิธีทำ
-
นำมะพร้าวขูดมาคั้นหัวกะทิ 1/2 ถ้วย และหางกะทิ 4 ถ้วย
-
นำบรรดาเห็ดๆ มาล้างให้สะอาด เห็ดฟางก็ปอก เอาส่วนที่ดำออกผ่าออกเป็น 4 ส่วน (หรือสองส่วนก็ได้ตามใจชอบ) เห็ดหอมก็ตัดโคนทิ้ง แล้วผ่าสี่ เห็ดหูหนูขาวนำเอาส่วนที่แข็งออก แล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ส่วนกุ้งนำมาล้างและปอกเปลือก ผ่าหลังเอาไส้ดำออก
-
นำหางกะทิตั้งไฟ พร้อมทั้งใส่เครื่องต้มยำอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พอเดือดจึงใส่กุ้ง และตามด้วยบรรดาสารพัดเห็ดทั้งหลายลงไป พอเดือดอีกครั้งจึงเริ่มปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย น้ำพริกเผา ตามใจชอบ ชิมรสให้กลมกล่อม (ช่วงนี้เป็นเรื่องของสูตรใครสูตรมัน จะจัดจ้านแค่ไหนก็เชิญตามสบาย)
-
ยกลงตกแต่งด้วยผักชีโรยหน้าสักหน่อย


เครดิต : http://www.yourhealthyguide.com/

เฝอเห็ด

สวัสดีคร่าา วันนี้หลายคนอาจสงสัยว่า เฝอ คืออะไร? แล้วเจ้าของบล็อกเขามาไม้ไหนเนี่ย?
ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้เจ้าของบล็อกจะมาบอกความรู้เรื่องเฝอให้หายสงสัยกันไปเลยค่ะ

เฝอคืออาหารเวียดนามอย่างหนึ่งค่ะ มีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวของบ้านเราค่ะ น้ำซุปของเขาจะเคี่ยวจากเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ และเครื่องเคียงเช่น กะปิ มะนาว พริก ส่วนใหญ่นิยมกินเป็นเฝอเนื้อ หรือไม่ก็เฝอไก่ค่ะ

ส่วนวิธีทำเฝอเห็ดก็ง่ายๆค่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสม
เส้นหมี่ข้าวกล้อง 1 ห่อ
เห็ดนางฟ้าผ่าครึ่ง 2 ขีด
เห็ดฟาง 2 ขีด
แครอทซอย 1 หัว
ถั่วงอกดิบ 1 กิโลกรัม
ใบบัวบก 8-9 ใบ
ผักหวาน 2 ขีด
กะปิเผา 1/4 ถ้วย (บีบมะนาวเล็กน้อยเพื่อให้ละลายได้ง่าย)
พริกขี้หนูซอย 20 เม็ด
กระเทียมซอย 5 กลีบ
มะนาวหั่นเป็นชิ้น 4 ลูก
น้ำซุป
ส่วนผสมน้ำซุป
แครอทหั่นแว่น 1 หัว เต้าหู้ 1 แผ่น
หัวไชเท้าหั่นแว่น 1 หัว ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 1 หัว น้ำเปล่า 10 ถ้วย
เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ 5-10 ดอก น้ำมันพืชเล็กน้อย
เก๊ากี้ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายไม่ขัดขาว 2 ช้อนโต๊ะ
สามเกลอ 1 ถ้วย
(รากผักชี กระเทียม พริกไทย โขลกรวมกัน)


วิธีทำ
-
วิธีทำน้ำซุป : ผัดสามเกลอจนหอม ใส่เก๊ากี้ หัวไชเท้า แครอท หอมหัวใหญ่ เห็ดหอม เต้าหู้ จนหอม จากนั้นใส่น้ำเปล่า ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายไม่ขัดขาว ซีอิ้วขาว ต้มจนสุก
-
ลวกเส้นหมี่ในน้ำเดือด ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น ตักใส่จานพักไว้
-
ลวกแครอท ผักหวาน เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง (ทีละชนิด) ในน้ำเดือด ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น ตักใส่จานพักไว้
-
จัดเส้นหมี่ แครอท ผักหวาน เห็ดนางฟ้าและเห็ดฟางที่ลวกไว้ใส่ชามตามต้องการ เทน้ำซุปผัก เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง ใบบัวบก ถั่วงอกดิบ กะปิ พริกขี้หนู กระเทียม และมะนาว(ถ้าไม่ชอบกะปิก็ไม่ต้องใส่ลงไป)

เครดิต : http://www.yourhealthyguide.com/

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 อันดับบ้านผีเฮี้ยนที่สุดในไทย

1.บ้านร้างที่มีเสียงเล่าลือถึงประวัติอันน่าสะพรึงกลัวในซอยรามคำแหง 32 ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ซึ่งตัวบ้านอยู่ลึกจากปากซอยไปประมาณ 300 เมตร บ้านทรงสเปน 2 ชั้น รูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ ปลูกอยู่เดียวดาย แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า20ปีแล้ว และแฝงด้วยประวัติอันน่าสะพรึงกลัว
ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวญี่ปุ่น วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้คนไทยอยู่เพียงคนเดียว ระหว่างนั้นมีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น พวกเขาปล้นและฆ่าสาวใช้ตายอย่างโหดเหี้ยม เมื่อเจ้าของบ้านจัดการเรื่องศพเรียบร้อย ก็ยังโดนวิญญาณหลอกหลอนจนต้องย้ายออกไป นับตั้งแต่นั้นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และบางครั้งยังเห็นวิญญาณของสาวใช้ มาตากผ้าหลังบ้านหรือเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว
ปัจจุบันบ้านหลังนี้มีผู้ที่ชอบพิสูจน์เรื่องลี้ลับเดินทางไปกันอย่างไม่ขาดสายกันไม่เว้นแต่ละวัน บางครั้งกลุ่มผู้อาศัยอยู่คอนโดสูงห่างออกไปนับร้อยเมตรก็ได้ยินเสียงวิ่ง เสียงร้องอย่างตกอกตกใจของกลุ่มผู้ไปพิสูจน์ที่บ้านหลังนี้อยู่บ่อยๆ


2.วัดมหาบุศย์ พระโขนง
ที่วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต (วัดระฆั )ได้มานำวิญญาณแม่นาคไปพร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน

3.ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า
ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทาง ที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การไม่ได้
ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้วและเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไป บางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ

4.ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1
เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึงห่างไกลจากบ้านอื่นๆในระแวกนั้น บริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย
คุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด
แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด
ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียง เคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน

5.รังสิต คลอง 13
จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง
คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย

6.ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ
เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการหากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที

7.วัดปราสาท จ.นนทบุรี
เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปีด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม ว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืนหากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก

8.โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)
สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรง คือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้มลมมรณะก็ยังอยู่

9.ในซอยวัชรพล
เป็นบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด
และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน

10.ในซอยวัชรพลเช่นกัน
เป็นหมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้ จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอนเล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก


ขอบคุณข้อมูลจากเว็บเหล่านี้ค่ะ
http://bkkonline.com/indy/exit/21-sep-43.html
http://ghostshock.blogspot.com/2010/07/10.html
http://www.welovecivic.com/forum/index.php?topic=7196.0

เรือไททานิคกับอาถรรพของเจ้าหญิงอียิปต์

ก่อนอื่นมาทราบเกี่ยวกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเรือกันค่ะ
วันที่ 15 สิงหาคม 2539 ทีมคณะนักวิจัยได้เดินทางไปยังที่ที่เรือไททานิคอับปางในทะเลแอตแลนติกเหนือและได้นำเหล็กจากลำเรือ มาศึกษาวิเคราะห์ตามหลักวิชาการโลหะวิทยาที่มหาวิทยาลัยมิศซูรีที่รอลล่า พบว่าส่วนผสมของเหล็กแผ่นตัวเรือมีธาตุไนโตรเจนอยู่น้อยมาก จึงทำให้เหล็กเปราะมากที่อุณหภูมิต่ำ แสดงว่าเหล็กนี้ถูกผลิตโดยกระบวนการโอเพนฮาร์ท ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตเหล็กที่ใช้ในงานโครงสร้างตอนต้นศตวรรษที่ 20 เนื้อเหล็กมีธาตุไนโตรเจนอยู่น้อยแต่ธาตุออกซิเจนอยู่สูงพอใช้ ปริมาณธาตุซิลิคอนก็ต่ำ แสดงว่าออกซิเจนในเนื้อเหล็กถูกกำจัดเพียงบางส่วน ปริมาณฟอสฟอรัสสูงกว่าปกติเล็กน้อย ในขณะที่ปริมาณธาตุกำมะถันสูงมาก ร่วมกับปริมาณธาตุแมงกานีสที่มีอยู่ต่ำ จึงทำให้อัตราส่วนของแมงกานีสต่อกำมะถันเป็น 6.8 ต่อ 1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับเหล็กสมัยใหม่ ปริมาณธาตุฟอสฟอรัส ออกซิเจน และกำมะถันที่มีอยู่มากในเนื้อเหล็ก มีแนวโน้มทำให้เหล็กมีคุณสมบัติที่เปราะที่อุณหภูมิต่ำ
เหล็กเหนียวที่ใช้สร้างเรือไททานิค น่าจะเป็นเหล็กแผ่นชนิดเหล็กกล้าเหนียวธรรมดา (เพลนคาร์บอน) ที่ดีที่สุดที่หาได้ในช่วงปี พ.ศ. 2452-2454 แต่เหล็กชนิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันสำหรับงานก่อสร้างทั่วไป โดยเฉพาะงานต่อเรือ
อาร์ เดวิส ได้ให้ความเห็นว่าในสมัยที่มีการสร้างเรือไททานิค สองในสามที่มีการสร้างเรือไททานิค สองในสามของปริมาณเหล็กเหนียวที่ผลิตในประเทศเครือจักรภพ ผลิตโดยกระบวนการโอเพนฮาร์ทในเตาที่บุด้วยอิฐทนไฟที่มีคุณสมบัติเป็นกรด จึงเป็นไปได้ที่เหล็กที่ใช้สร้างเรือไททานิคก็ผลิตในเตาแบบนี้ จึงมีปริมาณธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันในเนื้อเหล็กสูงมาก เหล็กทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ที่ใช้ในการต่อเรือน่าจะมาจากเมืองกลาสโกว์ของสก๊อตแลนด์
โครงสร้างจุลภาคของแผ่นเหล็กตัวเรือ แสดงอนุภาคของแมงกานีสซัลไฟด์ที่จับเป็นกลุ่มก้อน เรียงเป็นแถบตามความยาวของแผ่นเหล็กมากกว่าตามความกว้าง มีขนาดโดยเฉลี่ย 60.40 ไมโครเมตร อนุภาคของแมงกานีสซัลไฟด์ยืดยาวไปในทิศของแถบที่เกิดจากการรีดเหล็กขณะร้อน นอกจากนี้ยังมีการฝังตัวของพวกที่ไม่ใช่โลหะซึ่งมีขนาดเล็กด้วย
แผ่นเหล็กจากตัวเรือมีความหนาที่กำหนด 1.875 เซนติเมตร แต่ถูกกัดกร่อนด้วยน้ำทะเลจึงมีความหนาเพียง 1.45 เซนติเมตร การทดสอบความคงทนต่อแรงดึงเทียบเหล็กมาตรฐานที่มีส่วนผสมคล้ายกัน พบว่าเหล็กไททานิคมีค่าแรงดึงที่จุดครากต่ำกว่า แต่ยึดถึงได้มากกว่า อาจเนื่องมาจากมีขนาดเกรนที่โตกว่า
การทดสอบความคงทนต่อแรงกระทบในช่วงอุณหภูมิ -55 ถึง 179 องศาเซลเซียสของตัวอย่างเหล็กที่ตัดจากแผ่นเหล็กตัวเรือ โดยมีแกนของตัวอย่างทดสอบขนานไปตามยาวและตามขวางของแผ่นเหล็กที่อุณหภูมิสูง ตัวอย่างที่เตรียมตามความยาวของแผ่นทนแรงกระทบได้ดีกว่าตัวอย่างตามขวางที่อุณหภูมิต่ำ พลังงานที่จะทำให้ชิ้นงานแตกหักมีค่าเดียวกันทั้งตัวอย่างตามยาวและตามขวาง แถบของอนุภาคแมงกานีสซัลไฟด์เป็นสาเหตุของความแตกต่างของพลังงานที่ทำให้แตกหัก อุณหภูมิที่ทำให้เหล็กมาตรฐานเปลี่ยนสภาพจากเหนียวเป็นเปราะที่ค่าพลังงาน 20 จูล ที่ทำให้เหล็กแตกหัก อยู่ที่ -27 องศาเซลเซียส ในตัวอย่างเหล็กตามแนวยาวอุณหภูมินี้อยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส และตามขวางที่ 56 องศาเซลเซียส เห็นได้ชัดว่าเหล็กที่ใช้ทำตัวเรือ ไม่เหมาะที่จะใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ อุณหภูมิของน้ำทะเลขณะที่เรือชนภูเขาน้ำแข็งอยู่ที่ -2 องศาเซลเซียส
เหล็กเหนียวสมัยใหม่มีปริมาณธาตุแมงกานีสสูงกว่า และธาตุกำมะถันต่ำกว่าเหล็กไททานิค จึงทำให้อัตราส่วนของแมงกานีสต่อกำมะถันมีค่าที่สูงกว่า จึงลดอุณหภูมิที่เหล็กเปลี่ยนจากเหนียวเป็นเปราะได้อย่างมาก ประกอบกับเหล็กมาตรฐานมีปริมาณธาตุฟอสฟอรัสที่ต่ำกว่ามาก จึงทำให้อุณหภูมิดังกล่าวลดต่ำลงด้วย ในปี พ.ศ. 2455 ที่เรือจมเพราะยังไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเดินเรืออย่างที่ใช้กันในปัจจุบันค่ะ ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นภูเขาน้ำแข็งได้ในระยะไกลๆ ซึ่งจะทำให้มีเวลามากพอที่จะหลบหลีกได้ค่ะ

ถ้าเรือไททานิคไม่ชนภูเขาน้ำแข็งจะปฏิบัติงานในหน้าที่ได้มากกว่า 20 ปี


เงื่อนงำของความหายนะครั้งนี้มีตำนานเล่าลือต่อๆ กันมา อาจจะไม่น่าเชื่อถือสำหรับใครบางคนแต่มันเป็นเรื่องที่น่าพิศวง
ดังที่ทราบกันว่าเรือไททานิคนั้นอับปางโดยการชนภูเขาน้ำแข็งและจมหายไปในมหาสมุทรพร้อมชีวิตผู้คนอีกมากมาย โดยเรื่องราวไม่ได้กล่าวถึงมัมมี่ของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณ อาเมน-รา (Amen-Ra) ที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ ซึ่งอยู่ใต้ท้องเรือว่าเกี่ยวข้องกับสาเหตุการจมแต่อย่างใด

แต่ทว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับได้กล่าวถึงเรื่องการอับปางของไททานิคว่าเกิดจากคำสาปมัมมี่ที่อยู่ในรูปของสินค้าในเรือลำนี้ สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือไททานิคซึ่งเชื่อกันว่าเป็น " เรือที่ไม่มีวันจม " กลับล่มซะในเที่ยวแรกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยพ่อค้าที่ขาดจิตสำนึก ได้ลักลอบนำมัมมี่เข้าสู่อเมริกา เพื่อต้องการขายมัมมี่ให้แก่พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กตามที่ได้ตกลงราคาเป็นมูลค่าที่สูงถึง 500,000 ดอลลาร์ เขายังได้ตกลงแบ่งเงินจำนวนนั้นให้แก่หัวขโมยที่ลักลอบโจรกรรมสุสานแห่งนี้ โดยที่การลักลอบโจรกรรมครั้งนี้เทพอนูบิสทรงพิโรธเป็นอย่างมากจากการที่มเหสีของฟาโรห์ถูกลักลอบขโมยไปและขายให้พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กเสมือนเป็นการหมิ่นพระเกียรติฟาโรห์อย่างมหันต์ ดังนั้นเพื่อจัดการทำลายล้างพวกที่ไม่เคารพ เทพอนูบิสจึงจมเรือไททานิคเพื่อให้มัมมี่จมลงสู่ทะเลพร้อมกับเรือและผู้โดยสารโชคร้ายทุกคน นั่นคืออำนาจคำสาปแห่งเทพเจ้า ยังมีตำนานที่เล่าขานกันเพิ่มเติมว่า มัมมี่ได้ถูกนำขึ้นไปไว้อย่างปลอดภัยบนเรือชูชีพที่ช่วยชีวิตผู้โดยสารในขณะที่เรือไททานิคกำลังจมสู่ท้องทะเล จากนั้นได้มีการขนส่งต่อไปยังนิวยอร์ก แต่กลับเกิดเหตุประหลาดมากมายจนทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตัดสินใจส่งกลับคืนสู่อียิปต์ด้วยเรือ เอ็กซ์เพรส ออฟ ไอแลนด์ (Express of Ireland) และสุดท้ายเรือลำนี้ก็ได้จมลงสู่มหาสมุทรพร้อมกับชีวิตของลูกเรือทุกคน การอับปางครั้งนี้มัมมี่ไม่ได้จมอยู่กับเรือหากแต่สามารถกู้ขึ้นมาได้โดยเรือชูชีพหลังจากนั้นมีความพยายามที่จะส่งมัมมี่กลับสู่อียิปต์อีกครั้งด้วยเรือลูซิทาเนีย ซึ่งก็อับปางลงอีกจากฝีมือตอร์ปิโดในสงครามโลก แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะมัมมี่ดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรไปพร้อมกับสัมภาระต่างๆ ของเรือลูซิทาเนีย ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิพาทกันว่า เคราะห์กรรมของไททานิคนั้นเนื่องมาจากคำสาปของมัมมี่จนเป็นตำนานที่เล่าขานกันไม่รู้จบ

มารู้จักประวัติของเจ้าหญิงอาเมน-รากันค่ะ
เจ้าหญิงอาเมน-รามีพระชนม์ชีพในช่วงประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์
พระศพได้รับการบรรจุลงในโกศหรือโลงพระศพไม้ที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามตระการตา จากนั้นมีการนำไปบรรจุในสุสานหลวงที่ลักซอร์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์
จวบจนในช่วงปลายคริสต์ศักราช 1890 กลุ่มมหาเศรษฐี 4 คน ได้มาเยี่ยมชมอุโมงค์บรรจุพระศพที่ลักซอร์ มีการยื่นเสนอข้อตกลงซื้อขายโลงบรรจุพระศพมัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมน-รา ที่ประดับตกแต่งอย่างอลังการนี้ เศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มผู้ร่ำรวยถูกรางวัลล็อตเตอรี่ได้จ่ายเงินซื้อโลงพระศพมัมมี่ในราคาหลายพันปอนด์และได้นำกลับมาเก็บไว้ที่โรงแรมที่เขาพักอยู่ สองชั่วโมงต่อมาเขาได้เดินทางออกไปในทะเลทราย และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย ในวันรุ่งขึ้นหนึ่งในสามเศรษฐีที่เหลืออยู่ก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิง โดยอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ บาดแผลที่ถูกยิงตรงแขนข้างหนึ่งของเขาเกิดเป็นแผลร้ายแรงจนต้องตัดแขนทิ้ง เศรษฐีหนุ่มคนที่สามถูกธนาคารยึดเงินฝากของเขาไว้หมดเมื่อเดินทางกลับสู่บ้าน เศรษฐีคนสุดท้ายก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายและหมดเนื้อหมดตัว


ต่อมาในปี ค.ศ.1920 มีนักโบรานคดีชาวอเมริกันผู้หญิง
เดินทางไปอียิปต์เพื่อไปหานักอียิปวิทยาชาวอังกฤษชื่อว่า ดักลาส เมอร์เรย์อะนะ ที่บ้านพักในกรุงไคโรประเทศอียิปต์ จุดประสงค์ของเขามีเพียง ต้องการติดต่อขายสินค้าชิ้นหนึ่งให้เมอร์ และสินค้าที่ว่านี้คือหีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณองค์หนึ่งซึ่งก็คือเจ้าหญิง "อาเมน-รา"
เมอร์เรย์ต้อนรับนักโบราณคดีชาวอเมริกันคนนี้ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเท่าไหร่ ก็สารรูปของเขาดูซูบซีดเหมือนขี้ยาทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวก็สกปรก เขาก็เลยไม่ค่อยศรัทธาในสินค้าที่ได้รับการเสนอขาย แต่ก็เอ่ยปากขอดูสินค้า ก่อนจะตัดสินใจกะว่าถ้าไอ้เจ้าหมอที่อ้างว่าเป็นนักโบราณคดีคนนี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เขาจะได้ไม่หลงกลเสียเงินฟรีแต่นักโบราณคดีที่เมอร์เรย์หมายหัว กลับยินดีที่จะพาเขาไปดูสิ่งที่เสนอขายอย่างเต็มใจเสียด้วย
และทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบพระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้าเท่านั้น เขาถึงกับตะลึง อ้าปากค้าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีค่ามหาศาลเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา ทั้งมันยังจะทำท่าจะตกอยู่ในความครอบครองของเขาอย่างง่ายดายเสียอีก
นักโบรานคดีอเมริกันเล่าว่าเขาค้นพบหีบพระศพใบนี้
ที่วิหาร อะมอนรา(Amonra) ในธีบิส ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของบรรดาเจ้าหญิงอียิปต์โบราณมากมาย สำหรับโลงพระศพที่อยู่ต่อหน้าเมอร์เรย์น่าจะมีอายุประมาณ1600ปี ก่อนคริสตศักราช
"ตกลง ผมรับซื้อ" เมอร์เรย์กล่าวด้วยสีหน้าที่ซ่อนความปิติไว้มิดชิด "จะจ่ายเช็คให้ตามที่คุณต้องการ"
"แต่มันมีอาถรรพณ์หน่อยนะ เพราะมีคำสาปแช่งจารึกไว้ด้วย" นักโบราณคดีอเมริกันบอกเสียงอ่อยๆ "ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก" เมอร์เรย์ว่า สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับลวดลายข้างหีบอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันสังเกตว่า นักโบราณคดีอเมริกันถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะโล่งอก เพราะสิ่ง
ที่จารึกบนหีบมีข้อความว่า
"มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ที่
ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์
มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคน”แม้คำสาปแช่งที่นักโบราณคดีอเมริกาบันทึกไว้ให้ก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
ความที่เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาป จึงตัดสินใจซื้อหีบ เขาไม่ได้นึกเสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้นแม้แต่น้อยเลย ด้วยว่ามูลค่าของหีบพระศพที่เขาได้มามีค่ามากกว่ามากนัก
และเขาก็นำหีบพระศพของเจ้าหญิงโบราณไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดีในกรุงไคโรอีกหลายท่านพิสูจน์ว่า เป็นหีบพระศพสมัยไหน? ของเจ้าหญิงองค์ใด? แม้ว่าคำตอบที่เขาได้รับจะไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดแต่คำชมว่าเขามีสายตาเฉียบคม สามารถซื้อหีบพระศพโบราณได้ในราคาที่นับว่าถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงก็ทำให้เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจไปนานหลายวันแต่ว่า ในท่ามกลางความภูมิใจนั้น มีข่าวๆ หนึ่งแทรกเข้ามารบกวนความรู้สึกของเขาไม่น้อย นั่นคือนักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่งขายหีบพระศพใบนี้ให้ หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็จบชีวิตลงอย่างปริศนา หรือว่าคำสาปจะเป็นจริง ?
สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง
เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนใจทิ้ง เขาไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 20 ได้อีก สิ่งหนึ่งที่เขาต้องรีบกระทำขณะนี้ คือการส่งหีบพระศพไปเก็บไว้ที่บ้านในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อจัดแสดง
สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง
แต่ว่า
สามวันหลังจากนั้น ก็มีเหตุให้เขาได้ออกไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ ปรากฏว่า
ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุถูกเข้าที่แขนของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมอร์เรย์กลายเป็นคนพิการอย่างที่ไม่น่าจะเป็นด้วยสาเหตุบังเอิญที่น่าพิศวงยิ่ง
อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องส่งหีบพระศพเดินทางไปกับเรือล่วงหน้า ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์สักพักจนแน่ใจว่าอาการไม่กำเริบแน่ หลังจากที่เขาหายดีแล้ว จึงค่อยตามไปภายหลัง
เมื่อบาดแผลของเขาค่อยยังชั่วเมอร์เรย์ก็รีบเดินทางไปลอนดอน ประเทษอังกฤษทันที
แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ ปรากฏว่า
เพื่อนของเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่ง
ก็หีบพระศพ2คน และ หญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก1คน
พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุซะแล้ว
เมอร์เรย์ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ามันเป็นเหตุบังเอิญหรือมาจากอาถรรพณ์คำสาปกันแน่ อย่างไรก็ตาม พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ
เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน
ที่บ้านนั่นละค่ะที่นักอียิปต์วิทยารายนี้ตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพ ทันทีที่ฝาโลงเปิดออกเผยให้เห็นมัมมี่ของเจ้าหญิงเท่านั้น ทำเอาเมอร์เรย์ถึงกับ ผงะหน้าซีดเผือดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้า
ก็เพราะว่ามัมมี่ของเจ้าหญิงที่เขาเห็นเวลานี้แตกต่างไปจากที่เคยเห็นครั้งแรก
มันดูเหมือนใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่จริง จ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาความอาฆาตแค้น

คราวนี้ละเมอร์เรย์จึงปักใจเชื่อสนิทเลยว่า สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสทั้งหมดคือ คำสาปที่นักโบราณคดีอเมริกันเตือน เริ่มสำแดงเดชให้ประจักษ์ ความหวาดกลัวพุ่งเข้าจับขั้วหัวใจ
เมอร์เรย์ต้องคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพไปให้พ้นตัว แต่ใครล่ะจะมาเป็นผู้รับเคราะห์แทนในที่สุด ก็มีหญิงเคยร่วมชั้นเรียนของเขาที่สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก รับอาสาจะรับไว้เอง
หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ต้องรอนานเลย
บรรดาคำสาปที่ติดอยู่กับมัมมี่โบราณก็เริ่มแผลงฤทธิ์ เริ่มด้วยแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน ตามด้วยเธอเองก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วแถมต่อมายังล้มป่วยด้วยโรคประหลาดเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้อนๆกัน (บางที่กล่าวว่าเธอเป็นโรคประสาท)ทำให้เธอรีบแจ้นนำหีบพระศพมาคืนให้เมอร์เรย์ ข้างฝ่ายเมอร์เรย์ก็กลัวเดชคำสาปมาก ไม่ต้องการเก็บหีบพระศพไว้เช่นกัน จึงคิดหาทางมอบต่อให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษทางพิพิธภัณฑ์ก็แสนจะดีใจ รับเอาของบริจาคแล้วรีบจัดแสดงทันที

อย่างไรก็ดี โลงพระศพได้ย้ายมาสู่ประเทศอังกฤษตามคำสั่งซื้อของนักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน โดยที่ระหว่างการขนส่งก็เกิดเหตุประหลาดที่เป็นอุปสรรคตลอดเส้นทาง หลังจากที่มัมมี่มาอยู่ในการครอบครองสมาชิกในครอบครัวของนักธุรกิจนี้สามคนประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนและบ้านก็ถูกไฟไหม้ นักธุรกิจผู้นั้นจึงตัดสินใจบริจาคโลงอาถรรพ์แก่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ แต่ขณะที่ย้ายลงจากรถบรรทุกในบริเวณสนามของพิพิธภัณฑ์รถก็พลิกคว่ำแล้วพุ่งเข้าชนผู้คนบริเวณละแวกนั้น พอสิ้นความวุ่นวาย ต่อมาเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์สองคนกำลังขนโลงพระศพขึ้นบันไดนั้น คนหนึ่งเกิดพลาดตกลงมาขาหัก ส่วนอีกคนไม่เป็นอะไร แต่อีกสองวันต่อมาเขากลับเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ ครั้นเมื่อพระศพมัมมี่เจ้าหญิงประทับในห้องแสดงอารธรรมอียิปต์ หายนภัยที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น

ยามรักษาความปลอดภัยพิพิธภัณฑ์ได้ยินเสียงกระทุ้งโลงอย่างรุนแรง และมีเสียงกุกกักปึงปังยามค่ำคืนโดยไร้สาเหตุ ยามคนหนึ่งได้ตายระหว่างรักษาการณ์ เป็นเหตุให้ยามคนอื่นๆ อยากลาออก แม้กระทั่งพนักงานทำความสะอาดพลอยไม่อยากเข้าใกล้โลงพระศพ




ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มือบอนคนหนึ่งนำผ้าขี้ริ้ววางปิดภาพใบหน้าที่วาดบนโลงอย่างลบหลู่ หลังจากนั้นลูกของผู้เข้าชมอุตริผู้นั้นตายด้วยโรคหัด ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายพระศพมัมมี่ไปเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน ด้วยความคิดที่ไม่ต้องการให้ทำร้ายใครอีกต่อไปแต่ในอาทิตย์เดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มีส่วนช่วยเคลื่อนย้ายโลงพระศพก็ล้มป่วยลงด้วยอาการขั้นตรีทูต รวมทั้งผู้ดูแลการเคลื่อนย้ายก็เสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่านักข่าวหนังสือพิมพ์ที่เคยถ่ายรูปโลงมัมมี่เอาไว้แล้วนำไปล้าง ภาพนั้นมีใบหน้ามัมมี่ที่น่ากลัวปรากฏอยู่บนฝาโลงพระศพ ช่างภาพผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้องนอนและยิงตัวตาย ไม่นานจากนั้นทางพิพิธภัณฑ์ได้ขายมัมมี่ให้แก่นักสะสมเอกชน และหลังจากที่เคราะห์ร้ายความตายเกิดขึ้นต่อในครอบครัวรายนี้ ทำให้นักสะสมผู้นั้นนำโลงพระศพไปเก็บไว้ยังห้องใต้หลังคา

ต่อมา มาดาม เฮเลนา บลาวาตสกี ผู้วชาญโด่งดังเรื่องเร้นลับได้มาเยือนอาคารที่เก็บมัมมี่อาถรรพ์ขณะที่เข้าสู่อาคารเฮเลนาเป็นลม จับไข้ตัวสั่นเหมือนโดนผีเข้า จากนั้นจึงค้นหาที่มาของอำนาจชั่วร้ายที่มีพลังรุนแรงอย่างน่ากลัว ในที่สุดเฮเลนาก็มาหยุดอยู่ที่ห้องใต้หลังคาและได้พบกับโรงมัมมี่เจ้าของบ้านขอร้องเธอช่วยขับไล่อำนาจปิศาจมัมมี่ออกไป

ปิศาจนั้นย่อมเป็นปิศาจชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการได้ ฉันขอให้คุณรีบกำจัดปิศาจร้ายนี้โดยด่วนทว่าไม่มีพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษแห่งไหนยอมรับมัมมี่เลย เนื่องจากข่าวที่แพร่ว่า มีคนตายถึง 20 คนแถมยังประสบเหตุเคราะห์ร้ายและหายนะจากการเก็บรักษาหรือเกี่ยวข้องกับโลงพระศพมัมมี่นี้ตลอดที่ผ่านมา จนเป็นที่เล่าขานกันถึงอำนาจลึกลับนี้เรื่อยมา

ในที่สุดก็มีนักโบราณคดีอเมริกันผู้ไม่เชื่อถือในเรื่องอาถรรพ์ของมัมมี่ ยินดีจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อเคลื่อนย้ายมัมมี่มาที่นครนิวยอร์ก สั่งให้ขนส่งสมบัตินี้มาให้ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1912 โดยเรือโดยสารของบริษัทไวต์สตาร์ ลำใหม่หรูหรา นำเจ้าหญิงอาเมน-รา มาสู่นครนิวยอร์ก

โดยจัดส่งทางเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด
และใหญ่ที่สุด ในสมัยนั้น
นั่นคือ

เรือไททานิค เรือที่กล่าวกันว่า"ไม่มีวันจม"และถือว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด
แต่ครั้นจะขนย้ายหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผยก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น เลยจำต้องกระทำอย่างเป็นความลับทางฝ่ายขนส่งจัดการบรรจุหีบพระศพใส่ลังอย่างดี แล้วนำไปซ้อนไว้ใต้ท้องเรือ ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า มีหีบพระศพอียิปต์โบราณที่มีอาถรรพณ์ บรรทุกมากับเรือด้วย ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือ บริษัทผู้จัดส่งเท่านั้น
เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจาก เซ้าแธมป์ตัน (South Hamton) มุ่งสู่นิวยอร์ค (New York) ในราตรีของคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1912 ความหายนะอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนก็ปรากฏขึ้น กระทั่งถึงวันที่ 15 เมษา ทั่วโลกก็ต้องตะลึงงันกับข่าวที่ว่า"เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งอับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติค มีผู้โดยสารเสียชีวิตถึง 1,498 คน" ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าเรือไททานิคที่มีอุปกรณ์เดินเรือทันสมัย ทำไมถึงอับปางเร็วนัก หรือทำไมถึงต้องพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งเข้าอย่างจัง แต่บริษัทผู้รับจ้างขนหีบพระศพและบริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ทราบอยู่เต็มอกว่า เหตุที่เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งจนมีผู้เสียชีวิตมากมาย เพราะคำสาปของเจ้าหญิงอียิปต์โบราณ"อาเมน-รา"นั่นเองเรือไททานิคต้องคำสาป และถูกทำลายด้วยมนต์ตราโบราณอายุนับพันปี จนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีการกู้เรือมาได้เพราะความลึกประหนึ่งบาดาลนี่ละค่ะ ชะรอยเจ้า
หญิงองค์นี้คงต้องการอยู่อย่างสงบ ปราศจากการรบกวน
เธอจึงเลือกท้องน้ำ
ที่ลึกที่สุดพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก 1498 คน สงสารก็แต่ผู้คนที่จำเป็นต้องตามติดไปเป็นบริวารด้วยถึง 1,498 คน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเท่านั้น ที่ต้องมาสังเวยชีวิตเพราะ คำสาปไอยคุปต์แท้ๆ














ขอบคุณข้อมูลดีๆค่ะ

http://www.thaigoodview.com/node/62993
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1278569#ixzz1CVf1dBzb

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1280238#ixzz1CVfqsWb3

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1280238#ixzz1CVfT6Pvk

http://sites.google.com/site/5102350rsu/arc213-1/5102350_01

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1278569#ixzz1CVf1dBzb

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“ถั่ว” กินวันละ 1 กำมือ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ทักทายกันคร่าา เห็นหัวข้อแล้วหลายคนคงจะสงสัยกันสินะคะ

ว่าถั่วเม็ดเล็กๆเท่านิ้วมือเราเนี่ยจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้อย่างไรกัน

ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญเลื่อนเมาส์ลงไปอ่านต่อได้เลยค่ะ

นักวิจัยสเปนแนะนำด้วยความหวังดีว่า ให้กินถั่ววันละ 1 กำมือสักหนึ่งปี ร่วมกับกินอาหารสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีผักผลไม้และปลาเป็นหลัก จะช่วยล้างความเสี่ยง ต่ออันตรายของโรคหัวใจที่มีอยู่ในตัวให้หมดลงได้

พวกเขายังเห็นผลว่าการกินถั่วร่วมด้วย ยังให้คุณดีกว่าการบำรุงด้วยน้ำมันมะกอก อย่างที่ใช้อยู่ในอาหารแบบเมดิเตอร์ เรเนียนเสียอีก แม้ว่าทั้งสองอย่างจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ได้มากกว่าอาหารที่มีไขมันน้อยด้วยกัน
วารสารทางวิชาการ อายุรศาสตร์ ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษา เผยว่า ในการทดลองผู้ที่ได้รับผลดีที่สุดเป็นผู้ที่ได้รับการแนะนำให้
กินถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์ และถั่วเฮเซล แม้ว่าโดยเฉลี่ยจะไม่ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่เกือบทุกคนก็พุงยุบ และปริมาณไขมันในเลือด และความดันเลือดลดต่ำลง

ดร.จอร์ดิ วาลาส วลวาโด แห่งมหาวิทยาลัยโรวิรา ไอ เวอร์จิลิ ของสเปน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวบอกว่า อาหารพวกถั่วช่วยให้อิ่มเร็วและยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ทั้งยังอุดม ด้วยสารป้องกันการอักเสบอีกด้วย.

เห็นมั้ยละคะ ว่าถึงจะเป็นเพียงเม็ดถั่วเม็ดเล็กๆ แต่ก็สามารถทำคุณประโยชน์ ให้กับเรา

ได้มากมายขนาดนี้ ถือได้ว่าเป็น จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆเลยค่ะ


“กะหล่ำปลี” มีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็ง

กะหล่ำปลี” เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่า หากินง่ายในบ้านเรา กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป โดยชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่เริ่มปลูกกะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีประโยชน์ตรงที่เป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูง แถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก คนในสมัยโบราณใช้กะหล่ำปลีเป็นยา ว่ากันว่ากะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง ดังนั้นกะหล่ำปลีจึงถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน

ปัจจุบันมีคนให้ความสนใจกะหล่ำปลีกันมากเนื่องจากมีการทดลองหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เช่น มีการทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้

จากผลวิจัยเหล่านี้ทำให้เชื่อกันว่า การบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% กินกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็งในช่องท้อง และการกินกะหล่ำปลีสดก็จะดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วยเพราะจะไม่สูญเสียวิตามินไปกับความร้อนมากนัก

แต่ในบ้านเรา กะหล่ำปลีถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนกินต้องแน่ใจว่าล้างสะอาดปราศจากสารพิษแล้ว


ทานแยมและเยลลี่ช่วยเพิ่มพลังต้านมะเร็ง

คุณรู้ไหมว่า แยมและเยลลี่มีสารเพกตินซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งได้

สถาบันวิจัยอาหารแห่งสหราชอาณาจักรค้นพบว่า แยมและเยลลี่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ โดยศาสตราจารย์วิก มอร์ริส เจ้าของงานวิจัยกล่าวว่า

“ทั้งแยมและเยลลี่อุดมไปด้วยเพกติน ใยอาหารธรรมชาติที่พบในผักผลไม้ เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นแยมและเยลลี่ เพกตินจะปล่อยโมเลกุลชนิดหนึ่งออกมาซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของ มะเร็งอย่างได้ผล”

แม้เพกตินในผักผลไม้แปรรูปจะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยชี้ชัดว่าในผักผลไม้สดจะมีคุณสมบัติเหมือนกันหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไม่ควรมองข้ามประโยชน์จากผักผลไม้สด ใครที่อยากได้ประโยชน์จากเพกติน ต้องกินผลไม้ตระกูลส้มและแอ๊ปเปิ้ล โดยเฉพาะส่วนผิวและแกนจะมีเพกตินมากที่สุด

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

หัวข้อของบทความนี้อาจทำให้งงได้ เพราะทำให้เกิดความสงสัยว่า ในเมื่อนมเปรี้ยวสามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกได้ เหตุใดจึงยังสามารถแก้ไขปัญหาท้องเสียได้ด้วย ซึ่งเป็นอาการที่ตรงข้ามกัน แต่หัวข้อนี้ไม่ผิด นมเปรี้ยวมีคุณสมบัติเช่นนี้จริง ๆ เพียงแต่ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องผูกได้ทุกคน และก็ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องเสียได้ทุกกรณี

คราวนี้เรามาดูกันในส่วนประกอบว่า นมเปรี้ยวนั้นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักนมขาดมันเนย ด้วยแบคทีเรียที่ดี 2 ชนิด คือ Lactobacilli และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ของทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ดื่มนมเป็นประจำ เมื่อหมักนมวัวนี้ด้วยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดในเวลาและอุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำตาลแลคโตสในนมวัวจะถูกย่อยสลายหมดไป กลายเป็นกรดแฟตตี้ที่มีโมเลกุลสั้น คือ Acetic, Butyric และ Propionic acid กรดแฟตตี้ทั้ง 3 นี้ ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ในขั้นตอนสุดท้ายมีการเติมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้ชวนดื่ม ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย นมเปรี้ยวเหล่านี้จึงมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จำนวนมาก โดยไม่มีน้ำตาลแลคโตสหลงเหลืออยู่ จึงแก้ไขปัญหาคนที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสียได้ เนื่องจากปัญหาการที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ และเนื่องจากมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ให้มีอุณหภูมิใกล้ 4 องศา เพื่อไม่ให้แบคทีเรียนี้มีการหมักน้ำตาลอีกต่อไป เวลาจำหน่ายจึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.

สับปะรดช่วยระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สับปะรดมีวิตามินซีที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ฯลฯ

สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่าค่ะ

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น


มะกรูด ขับลมในกระเพาะ แก้อาเจียนเป็นเลือดด้วย

รักทุกฤดู ost. ละครช็อคโกแลต 5 ฤดู - น้ำชา ชีรณัฐมะกรูด เป็นพืชในสกุลส้ม มีผลมีเขียวเข้ม เปลือกเป็นปุ่มป่ำ เนื้อข้างในมีน้ำแต่ไม่มากอย่างส้มชนิดอื่น ๆ ใบมีสีเขียวเข้ม มีกลิ่นฉุน ส่วนที่ใช้เป็นยาสมุนไพร ใบ ผล และราก ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง หากมีการตัดแต่งกิ่งยอดจะแยกออกมาเร็วมาก และยังเป็นพืชที่ทำรายได้ให้เกษตรกรด้วย

ในน้ำมะกรูด มีกรดซิตริก เป็นสารหลัก คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี และในผิวมะกรูดมีน้ำมันหอม

สรรพคุณและวิธีใช้

- น้ำในลูก ขับลมในลำไส้ แก้น้ำลายเหนียวแก้ปวดท้อง แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน บีบน้ำมะกรูดลงคอ 5-6 หยด ทุก 5-10 นาที แก้ไอช่วยละลายขับเสมหะ แต่ควรให้ถูกฟันน้อยที่สุด เพราะเป็นกรดจึงอาจทำลายเคลือบฟันได้

- ผิวลูกมะกรูด ขับลมในลำไส้ ปรุงเป็นยาลม ขับระดู แก้ปวดท้อง

- ใบ แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำใน มีสารต้านมะเร็ง

- ราก แก้ไข้ แก้กำเดา ถอนพิษ แก้ลมจุกเสียด แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะ

- ลูกมะกรูด นำมาดองกินเป็นยาฟอกและบำรุงเลือด

นอกจากนี้มะกรูดยังใช้ประกอบอาหารได้ด้วย แต่นิยมนำใบมาปรุงแต่งและปรุงรสอาหาร โดยเฉพาะนำมาใส่ในแกงกะทิและแกงพวกเนื้อดับกลิ่นคาว หรือโรยหน้าห่อหมก และยอดอ่อนสามารถเก็บมาจิ้มกับน้ำพริกได้ด้วย


เบอร์เกอร์มังสวิรัติ


สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกแล้วนะคะ
วันนี้ขอนำเสนอเมนูเพื่อสุขภาพค่ะ
ซึ่งนั่นก็คือ "เบอร์เกอร์มังสวิรัติ" นั่นเองค่ะ
เอ...หลายคนคงจะสงสัยกันสินะคะว่า
เจ้าเบอร์เกอร์มังสวิรัติที่ว่าเนี่ยมันมีวิธีทำยังไง
และจะหน้าตาเหมือนกับเบอร์เกอร์โดยทั่วไป
ที่เรากินรู้จักกันหรือไม่
ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญได้ดูวิธีทำกันให้หายสงสัยกันเลยดีกว่าค่ะ

เริ่มต้นก็ที่ส่วนผสมกันก่อนค่ะ

ส่วนผสม
ข้าวกล้องเพาะงอกหุงสุก 1 ถ้วย หอมใหญ่หั่นแว่น 4 ชิ้น
เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วย แตงกวาหั่นแว่น 4 ชิ้น
งาดำและงาขาว 1 ช้อนชา โยเกิร์ตมัสตาร์ด 1-2 ช้อนชา
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทุบหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันรำข้าว 1 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา ขาเห็ดหอมปรุงรส(ชนิดปรุงสำเร็จ) 1/4 ถ้วย
มะเขือเทศหั่นแว่น 4 ชิ้น
ส่วนผสมโยเกิร์ตมัสตาร์ด
โยเกิร์ต 1 ถ้วย ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
มัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ กะหล่ำปลีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
-
นำข้าวกล้องเพาะงอก เกล็ดขนมปัง 1/2 ถ้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาดำ งาขาว และเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วอัดใส่พิมพ์วงกลม
-
นำส่วนผสมออกจากพิมพ์แล้วคลุกกับเกล็ดขนมปังที่เหลือ ทอดกับน้ำมันจนสุก
-
นำมาตัดแบ่งครึ่ง ชิ้นหนึ่งวางมะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ แตงกวา ขาเห็ดหอม ส่วนอีกชิ้นทาโยเกิร์ตมัสตาร์ดให้ทั่วแล้วนำมาวางประกบกัน ยกเสิร์ฟ



วิธีทำโยเกิร์ตมัสตาร์ด : คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน

credit: http://www.yourhealthyguide.com/

ส้มตำข้าวโพด

ส้มตำ+ข้าวโพด จะหน้าตาเป็นยังไงและอร่อยมั้ยหนอ?? งงกันไปเลยใช่มั้ยหละค่ะ สำหรับเมนูครั้งนี้ แต่ก็ขอรับรองค่ะว่าทั้งอร่อยและก็มีคุณประโยชน์แน่นอนเพราะทั้งข้าวโพดจะอุดมไปด้วยวิตามินเอแล้ว มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เส้นใยอาหาร และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก ช่วยบำรุงสุขภาพ ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงายได้ดีอีกด้วยค่ะ ประกอบกับส่วนประกอบในการทำส้มตำเช่นพริก มะเขือเทศ แครอท และกระเทียมแล้ว ถือว่าเป็นการผสมผสานกันที่ให้ประโยชน์มากทีเดียวค่ะ

ว่าแล้วเราไปรู้จักวิธีทำไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

ส่วนผสม

ข้าวโพดต้มฝักขนาดปานกลาง 1 ฝัก
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 4-5 เม็ด
แครอทขูดฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศ 1 ผล
กระเทียม 4-5 กลีบ
น้ำตาลปีบ 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วฝักยาว 2-3 ฝัก


วิธีทำ
-
แกะหรือฝานเอาเมล็ดข้าวโพดต้้ม เพื่อเตรียมทำเป็นส้มตำ เมื่อเอาเมล็ดข้าวโพดออกมาแล้ว ให้นำไปพักไว้ก่อน
-
ตำพริก กระเทียม และถั่วฝักยาวแค่พอแตกไม่ต้องให้แหลกมากนัก
-
ปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ น้ำปลา และน้ำมะนาว (หรือน้ำมะขามเปียก) ชิมรสให้ได้เปรี้ยวหวานถูกปาก
-
นำเมล็ดข้าวโพด มะเขือเทศหั่นซีก ตามด้วยแครอทขูดฝอย ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วตักจากครกใส่จาน

credit: http://www.yourhealthyguide.com/