วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรือไททานิคกับอาถรรพของเจ้าหญิงอียิปต์

ก่อนอื่นมาทราบเกี่ยวกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเรือกันค่ะ
วันที่ 15 สิงหาคม 2539 ทีมคณะนักวิจัยได้เดินทางไปยังที่ที่เรือไททานิคอับปางในทะเลแอตแลนติกเหนือและได้นำเหล็กจากลำเรือ มาศึกษาวิเคราะห์ตามหลักวิชาการโลหะวิทยาที่มหาวิทยาลัยมิศซูรีที่รอลล่า พบว่าส่วนผสมของเหล็กแผ่นตัวเรือมีธาตุไนโตรเจนอยู่น้อยมาก จึงทำให้เหล็กเปราะมากที่อุณหภูมิต่ำ แสดงว่าเหล็กนี้ถูกผลิตโดยกระบวนการโอเพนฮาร์ท ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตเหล็กที่ใช้ในงานโครงสร้างตอนต้นศตวรรษที่ 20 เนื้อเหล็กมีธาตุไนโตรเจนอยู่น้อยแต่ธาตุออกซิเจนอยู่สูงพอใช้ ปริมาณธาตุซิลิคอนก็ต่ำ แสดงว่าออกซิเจนในเนื้อเหล็กถูกกำจัดเพียงบางส่วน ปริมาณฟอสฟอรัสสูงกว่าปกติเล็กน้อย ในขณะที่ปริมาณธาตุกำมะถันสูงมาก ร่วมกับปริมาณธาตุแมงกานีสที่มีอยู่ต่ำ จึงทำให้อัตราส่วนของแมงกานีสต่อกำมะถันเป็น 6.8 ต่อ 1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับเหล็กสมัยใหม่ ปริมาณธาตุฟอสฟอรัส ออกซิเจน และกำมะถันที่มีอยู่มากในเนื้อเหล็ก มีแนวโน้มทำให้เหล็กมีคุณสมบัติที่เปราะที่อุณหภูมิต่ำ
เหล็กเหนียวที่ใช้สร้างเรือไททานิค น่าจะเป็นเหล็กแผ่นชนิดเหล็กกล้าเหนียวธรรมดา (เพลนคาร์บอน) ที่ดีที่สุดที่หาได้ในช่วงปี พ.ศ. 2452-2454 แต่เหล็กชนิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันสำหรับงานก่อสร้างทั่วไป โดยเฉพาะงานต่อเรือ
อาร์ เดวิส ได้ให้ความเห็นว่าในสมัยที่มีการสร้างเรือไททานิค สองในสามที่มีการสร้างเรือไททานิค สองในสามของปริมาณเหล็กเหนียวที่ผลิตในประเทศเครือจักรภพ ผลิตโดยกระบวนการโอเพนฮาร์ทในเตาที่บุด้วยอิฐทนไฟที่มีคุณสมบัติเป็นกรด จึงเป็นไปได้ที่เหล็กที่ใช้สร้างเรือไททานิคก็ผลิตในเตาแบบนี้ จึงมีปริมาณธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันในเนื้อเหล็กสูงมาก เหล็กทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ที่ใช้ในการต่อเรือน่าจะมาจากเมืองกลาสโกว์ของสก๊อตแลนด์
โครงสร้างจุลภาคของแผ่นเหล็กตัวเรือ แสดงอนุภาคของแมงกานีสซัลไฟด์ที่จับเป็นกลุ่มก้อน เรียงเป็นแถบตามความยาวของแผ่นเหล็กมากกว่าตามความกว้าง มีขนาดโดยเฉลี่ย 60.40 ไมโครเมตร อนุภาคของแมงกานีสซัลไฟด์ยืดยาวไปในทิศของแถบที่เกิดจากการรีดเหล็กขณะร้อน นอกจากนี้ยังมีการฝังตัวของพวกที่ไม่ใช่โลหะซึ่งมีขนาดเล็กด้วย
แผ่นเหล็กจากตัวเรือมีความหนาที่กำหนด 1.875 เซนติเมตร แต่ถูกกัดกร่อนด้วยน้ำทะเลจึงมีความหนาเพียง 1.45 เซนติเมตร การทดสอบความคงทนต่อแรงดึงเทียบเหล็กมาตรฐานที่มีส่วนผสมคล้ายกัน พบว่าเหล็กไททานิคมีค่าแรงดึงที่จุดครากต่ำกว่า แต่ยึดถึงได้มากกว่า อาจเนื่องมาจากมีขนาดเกรนที่โตกว่า
การทดสอบความคงทนต่อแรงกระทบในช่วงอุณหภูมิ -55 ถึง 179 องศาเซลเซียสของตัวอย่างเหล็กที่ตัดจากแผ่นเหล็กตัวเรือ โดยมีแกนของตัวอย่างทดสอบขนานไปตามยาวและตามขวางของแผ่นเหล็กที่อุณหภูมิสูง ตัวอย่างที่เตรียมตามความยาวของแผ่นทนแรงกระทบได้ดีกว่าตัวอย่างตามขวางที่อุณหภูมิต่ำ พลังงานที่จะทำให้ชิ้นงานแตกหักมีค่าเดียวกันทั้งตัวอย่างตามยาวและตามขวาง แถบของอนุภาคแมงกานีสซัลไฟด์เป็นสาเหตุของความแตกต่างของพลังงานที่ทำให้แตกหัก อุณหภูมิที่ทำให้เหล็กมาตรฐานเปลี่ยนสภาพจากเหนียวเป็นเปราะที่ค่าพลังงาน 20 จูล ที่ทำให้เหล็กแตกหัก อยู่ที่ -27 องศาเซลเซียส ในตัวอย่างเหล็กตามแนวยาวอุณหภูมินี้อยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส และตามขวางที่ 56 องศาเซลเซียส เห็นได้ชัดว่าเหล็กที่ใช้ทำตัวเรือ ไม่เหมาะที่จะใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ อุณหภูมิของน้ำทะเลขณะที่เรือชนภูเขาน้ำแข็งอยู่ที่ -2 องศาเซลเซียส
เหล็กเหนียวสมัยใหม่มีปริมาณธาตุแมงกานีสสูงกว่า และธาตุกำมะถันต่ำกว่าเหล็กไททานิค จึงทำให้อัตราส่วนของแมงกานีสต่อกำมะถันมีค่าที่สูงกว่า จึงลดอุณหภูมิที่เหล็กเปลี่ยนจากเหนียวเป็นเปราะได้อย่างมาก ประกอบกับเหล็กมาตรฐานมีปริมาณธาตุฟอสฟอรัสที่ต่ำกว่ามาก จึงทำให้อุณหภูมิดังกล่าวลดต่ำลงด้วย ในปี พ.ศ. 2455 ที่เรือจมเพราะยังไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเดินเรืออย่างที่ใช้กันในปัจจุบันค่ะ ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นภูเขาน้ำแข็งได้ในระยะไกลๆ ซึ่งจะทำให้มีเวลามากพอที่จะหลบหลีกได้ค่ะ

ถ้าเรือไททานิคไม่ชนภูเขาน้ำแข็งจะปฏิบัติงานในหน้าที่ได้มากกว่า 20 ปี


เงื่อนงำของความหายนะครั้งนี้มีตำนานเล่าลือต่อๆ กันมา อาจจะไม่น่าเชื่อถือสำหรับใครบางคนแต่มันเป็นเรื่องที่น่าพิศวง
ดังที่ทราบกันว่าเรือไททานิคนั้นอับปางโดยการชนภูเขาน้ำแข็งและจมหายไปในมหาสมุทรพร้อมชีวิตผู้คนอีกมากมาย โดยเรื่องราวไม่ได้กล่าวถึงมัมมี่ของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณ อาเมน-รา (Amen-Ra) ที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ ซึ่งอยู่ใต้ท้องเรือว่าเกี่ยวข้องกับสาเหตุการจมแต่อย่างใด

แต่ทว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับได้กล่าวถึงเรื่องการอับปางของไททานิคว่าเกิดจากคำสาปมัมมี่ที่อยู่ในรูปของสินค้าในเรือลำนี้ สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือไททานิคซึ่งเชื่อกันว่าเป็น " เรือที่ไม่มีวันจม " กลับล่มซะในเที่ยวแรกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยพ่อค้าที่ขาดจิตสำนึก ได้ลักลอบนำมัมมี่เข้าสู่อเมริกา เพื่อต้องการขายมัมมี่ให้แก่พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กตามที่ได้ตกลงราคาเป็นมูลค่าที่สูงถึง 500,000 ดอลลาร์ เขายังได้ตกลงแบ่งเงินจำนวนนั้นให้แก่หัวขโมยที่ลักลอบโจรกรรมสุสานแห่งนี้ โดยที่การลักลอบโจรกรรมครั้งนี้เทพอนูบิสทรงพิโรธเป็นอย่างมากจากการที่มเหสีของฟาโรห์ถูกลักลอบขโมยไปและขายให้พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กเสมือนเป็นการหมิ่นพระเกียรติฟาโรห์อย่างมหันต์ ดังนั้นเพื่อจัดการทำลายล้างพวกที่ไม่เคารพ เทพอนูบิสจึงจมเรือไททานิคเพื่อให้มัมมี่จมลงสู่ทะเลพร้อมกับเรือและผู้โดยสารโชคร้ายทุกคน นั่นคืออำนาจคำสาปแห่งเทพเจ้า ยังมีตำนานที่เล่าขานกันเพิ่มเติมว่า มัมมี่ได้ถูกนำขึ้นไปไว้อย่างปลอดภัยบนเรือชูชีพที่ช่วยชีวิตผู้โดยสารในขณะที่เรือไททานิคกำลังจมสู่ท้องทะเล จากนั้นได้มีการขนส่งต่อไปยังนิวยอร์ก แต่กลับเกิดเหตุประหลาดมากมายจนทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตัดสินใจส่งกลับคืนสู่อียิปต์ด้วยเรือ เอ็กซ์เพรส ออฟ ไอแลนด์ (Express of Ireland) และสุดท้ายเรือลำนี้ก็ได้จมลงสู่มหาสมุทรพร้อมกับชีวิตของลูกเรือทุกคน การอับปางครั้งนี้มัมมี่ไม่ได้จมอยู่กับเรือหากแต่สามารถกู้ขึ้นมาได้โดยเรือชูชีพหลังจากนั้นมีความพยายามที่จะส่งมัมมี่กลับสู่อียิปต์อีกครั้งด้วยเรือลูซิทาเนีย ซึ่งก็อับปางลงอีกจากฝีมือตอร์ปิโดในสงครามโลก แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะมัมมี่ดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรไปพร้อมกับสัมภาระต่างๆ ของเรือลูซิทาเนีย ด้วยเหตุนี้จึงมีการพิพาทกันว่า เคราะห์กรรมของไททานิคนั้นเนื่องมาจากคำสาปของมัมมี่จนเป็นตำนานที่เล่าขานกันไม่รู้จบ

มารู้จักประวัติของเจ้าหญิงอาเมน-รากันค่ะ
เจ้าหญิงอาเมน-รามีพระชนม์ชีพในช่วงประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์
พระศพได้รับการบรรจุลงในโกศหรือโลงพระศพไม้ที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามตระการตา จากนั้นมีการนำไปบรรจุในสุสานหลวงที่ลักซอร์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์
จวบจนในช่วงปลายคริสต์ศักราช 1890 กลุ่มมหาเศรษฐี 4 คน ได้มาเยี่ยมชมอุโมงค์บรรจุพระศพที่ลักซอร์ มีการยื่นเสนอข้อตกลงซื้อขายโลงบรรจุพระศพมัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมน-รา ที่ประดับตกแต่งอย่างอลังการนี้ เศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มผู้ร่ำรวยถูกรางวัลล็อตเตอรี่ได้จ่ายเงินซื้อโลงพระศพมัมมี่ในราคาหลายพันปอนด์และได้นำกลับมาเก็บไว้ที่โรงแรมที่เขาพักอยู่ สองชั่วโมงต่อมาเขาได้เดินทางออกไปในทะเลทราย และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย ในวันรุ่งขึ้นหนึ่งในสามเศรษฐีที่เหลืออยู่ก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิง โดยอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ บาดแผลที่ถูกยิงตรงแขนข้างหนึ่งของเขาเกิดเป็นแผลร้ายแรงจนต้องตัดแขนทิ้ง เศรษฐีหนุ่มคนที่สามถูกธนาคารยึดเงินฝากของเขาไว้หมดเมื่อเดินทางกลับสู่บ้าน เศรษฐีคนสุดท้ายก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายและหมดเนื้อหมดตัว


ต่อมาในปี ค.ศ.1920 มีนักโบรานคดีชาวอเมริกันผู้หญิง
เดินทางไปอียิปต์เพื่อไปหานักอียิปวิทยาชาวอังกฤษชื่อว่า ดักลาส เมอร์เรย์อะนะ ที่บ้านพักในกรุงไคโรประเทศอียิปต์ จุดประสงค์ของเขามีเพียง ต้องการติดต่อขายสินค้าชิ้นหนึ่งให้เมอร์ และสินค้าที่ว่านี้คือหีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณองค์หนึ่งซึ่งก็คือเจ้าหญิง "อาเมน-รา"
เมอร์เรย์ต้อนรับนักโบราณคดีชาวอเมริกันคนนี้ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเท่าไหร่ ก็สารรูปของเขาดูซูบซีดเหมือนขี้ยาทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวก็สกปรก เขาก็เลยไม่ค่อยศรัทธาในสินค้าที่ได้รับการเสนอขาย แต่ก็เอ่ยปากขอดูสินค้า ก่อนจะตัดสินใจกะว่าถ้าไอ้เจ้าหมอที่อ้างว่าเป็นนักโบราณคดีคนนี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ เขาจะได้ไม่หลงกลเสียเงินฟรีแต่นักโบราณคดีที่เมอร์เรย์หมายหัว กลับยินดีที่จะพาเขาไปดูสิ่งที่เสนอขายอย่างเต็มใจเสียด้วย
และทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบพระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้าเท่านั้น เขาถึงกับตะลึง อ้าปากค้าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีค่ามหาศาลเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา ทั้งมันยังจะทำท่าจะตกอยู่ในความครอบครองของเขาอย่างง่ายดายเสียอีก
นักโบรานคดีอเมริกันเล่าว่าเขาค้นพบหีบพระศพใบนี้
ที่วิหาร อะมอนรา(Amonra) ในธีบิส ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของบรรดาเจ้าหญิงอียิปต์โบราณมากมาย สำหรับโลงพระศพที่อยู่ต่อหน้าเมอร์เรย์น่าจะมีอายุประมาณ1600ปี ก่อนคริสตศักราช
"ตกลง ผมรับซื้อ" เมอร์เรย์กล่าวด้วยสีหน้าที่ซ่อนความปิติไว้มิดชิด "จะจ่ายเช็คให้ตามที่คุณต้องการ"
"แต่มันมีอาถรรพณ์หน่อยนะ เพราะมีคำสาปแช่งจารึกไว้ด้วย" นักโบราณคดีอเมริกันบอกเสียงอ่อยๆ "ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก" เมอร์เรย์ว่า สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับลวดลายข้างหีบอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันสังเกตว่า นักโบราณคดีอเมริกันถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะโล่งอก เพราะสิ่ง
ที่จารึกบนหีบมีข้อความว่า
"มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ที่
ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์
มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคน”แม้คำสาปแช่งที่นักโบราณคดีอเมริกาบันทึกไว้ให้ก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
ความที่เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาป จึงตัดสินใจซื้อหีบ เขาไม่ได้นึกเสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้นแม้แต่น้อยเลย ด้วยว่ามูลค่าของหีบพระศพที่เขาได้มามีค่ามากกว่ามากนัก
และเขาก็นำหีบพระศพของเจ้าหญิงโบราณไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดีในกรุงไคโรอีกหลายท่านพิสูจน์ว่า เป็นหีบพระศพสมัยไหน? ของเจ้าหญิงองค์ใด? แม้ว่าคำตอบที่เขาได้รับจะไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดแต่คำชมว่าเขามีสายตาเฉียบคม สามารถซื้อหีบพระศพโบราณได้ในราคาที่นับว่าถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงก็ทำให้เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจไปนานหลายวันแต่ว่า ในท่ามกลางความภูมิใจนั้น มีข่าวๆ หนึ่งแทรกเข้ามารบกวนความรู้สึกของเขาไม่น้อย นั่นคือนักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่งขายหีบพระศพใบนี้ให้ หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็จบชีวิตลงอย่างปริศนา หรือว่าคำสาปจะเป็นจริง ?
สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง
เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนใจทิ้ง เขาไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 20 ได้อีก สิ่งหนึ่งที่เขาต้องรีบกระทำขณะนี้ คือการส่งหีบพระศพไปเก็บไว้ที่บ้านในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อจัดแสดง
สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรียบร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง
แต่ว่า
สามวันหลังจากนั้น ก็มีเหตุให้เขาได้ออกไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ ปรากฏว่า
ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุถูกเข้าที่แขนของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมอร์เรย์กลายเป็นคนพิการอย่างที่ไม่น่าจะเป็นด้วยสาเหตุบังเอิญที่น่าพิศวงยิ่ง
อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องส่งหีบพระศพเดินทางไปกับเรือล่วงหน้า ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์สักพักจนแน่ใจว่าอาการไม่กำเริบแน่ หลังจากที่เขาหายดีแล้ว จึงค่อยตามไปภายหลัง
เมื่อบาดแผลของเขาค่อยยังชั่วเมอร์เรย์ก็รีบเดินทางไปลอนดอน ประเทษอังกฤษทันที
แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ ปรากฏว่า
เพื่อนของเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่ง
ก็หีบพระศพ2คน และ หญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก1คน
พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุซะแล้ว
เมอร์เรย์ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ามันเป็นเหตุบังเอิญหรือมาจากอาถรรพณ์คำสาปกันแน่ อย่างไรก็ตาม พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ
เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน
ที่บ้านนั่นละค่ะที่นักอียิปต์วิทยารายนี้ตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพ ทันทีที่ฝาโลงเปิดออกเผยให้เห็นมัมมี่ของเจ้าหญิงเท่านั้น ทำเอาเมอร์เรย์ถึงกับ ผงะหน้าซีดเผือดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้า
ก็เพราะว่ามัมมี่ของเจ้าหญิงที่เขาเห็นเวลานี้แตกต่างไปจากที่เคยเห็นครั้งแรก
มันดูเหมือนใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่จริง จ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาความอาฆาตแค้น

คราวนี้ละเมอร์เรย์จึงปักใจเชื่อสนิทเลยว่า สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสทั้งหมดคือ คำสาปที่นักโบราณคดีอเมริกันเตือน เริ่มสำแดงเดชให้ประจักษ์ ความหวาดกลัวพุ่งเข้าจับขั้วหัวใจ
เมอร์เรย์ต้องคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพไปให้พ้นตัว แต่ใครล่ะจะมาเป็นผู้รับเคราะห์แทนในที่สุด ก็มีหญิงเคยร่วมชั้นเรียนของเขาที่สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก รับอาสาจะรับไว้เอง
หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ต้องรอนานเลย
บรรดาคำสาปที่ติดอยู่กับมัมมี่โบราณก็เริ่มแผลงฤทธิ์ เริ่มด้วยแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน ตามด้วยเธอเองก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วแถมต่อมายังล้มป่วยด้วยโรคประหลาดเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้อนๆกัน (บางที่กล่าวว่าเธอเป็นโรคประสาท)ทำให้เธอรีบแจ้นนำหีบพระศพมาคืนให้เมอร์เรย์ ข้างฝ่ายเมอร์เรย์ก็กลัวเดชคำสาปมาก ไม่ต้องการเก็บหีบพระศพไว้เช่นกัน จึงคิดหาทางมอบต่อให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษทางพิพิธภัณฑ์ก็แสนจะดีใจ รับเอาของบริจาคแล้วรีบจัดแสดงทันที

อย่างไรก็ดี โลงพระศพได้ย้ายมาสู่ประเทศอังกฤษตามคำสั่งซื้อของนักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน โดยที่ระหว่างการขนส่งก็เกิดเหตุประหลาดที่เป็นอุปสรรคตลอดเส้นทาง หลังจากที่มัมมี่มาอยู่ในการครอบครองสมาชิกในครอบครัวของนักธุรกิจนี้สามคนประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนและบ้านก็ถูกไฟไหม้ นักธุรกิจผู้นั้นจึงตัดสินใจบริจาคโลงอาถรรพ์แก่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ แต่ขณะที่ย้ายลงจากรถบรรทุกในบริเวณสนามของพิพิธภัณฑ์รถก็พลิกคว่ำแล้วพุ่งเข้าชนผู้คนบริเวณละแวกนั้น พอสิ้นความวุ่นวาย ต่อมาเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์สองคนกำลังขนโลงพระศพขึ้นบันไดนั้น คนหนึ่งเกิดพลาดตกลงมาขาหัก ส่วนอีกคนไม่เป็นอะไร แต่อีกสองวันต่อมาเขากลับเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ ครั้นเมื่อพระศพมัมมี่เจ้าหญิงประทับในห้องแสดงอารธรรมอียิปต์ หายนภัยที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น

ยามรักษาความปลอดภัยพิพิธภัณฑ์ได้ยินเสียงกระทุ้งโลงอย่างรุนแรง และมีเสียงกุกกักปึงปังยามค่ำคืนโดยไร้สาเหตุ ยามคนหนึ่งได้ตายระหว่างรักษาการณ์ เป็นเหตุให้ยามคนอื่นๆ อยากลาออก แม้กระทั่งพนักงานทำความสะอาดพลอยไม่อยากเข้าใกล้โลงพระศพ




ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มือบอนคนหนึ่งนำผ้าขี้ริ้ววางปิดภาพใบหน้าที่วาดบนโลงอย่างลบหลู่ หลังจากนั้นลูกของผู้เข้าชมอุตริผู้นั้นตายด้วยโรคหัด ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายพระศพมัมมี่ไปเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน ด้วยความคิดที่ไม่ต้องการให้ทำร้ายใครอีกต่อไปแต่ในอาทิตย์เดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มีส่วนช่วยเคลื่อนย้ายโลงพระศพก็ล้มป่วยลงด้วยอาการขั้นตรีทูต รวมทั้งผู้ดูแลการเคลื่อนย้ายก็เสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่านักข่าวหนังสือพิมพ์ที่เคยถ่ายรูปโลงมัมมี่เอาไว้แล้วนำไปล้าง ภาพนั้นมีใบหน้ามัมมี่ที่น่ากลัวปรากฏอยู่บนฝาโลงพระศพ ช่างภาพผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้องนอนและยิงตัวตาย ไม่นานจากนั้นทางพิพิธภัณฑ์ได้ขายมัมมี่ให้แก่นักสะสมเอกชน และหลังจากที่เคราะห์ร้ายความตายเกิดขึ้นต่อในครอบครัวรายนี้ ทำให้นักสะสมผู้นั้นนำโลงพระศพไปเก็บไว้ยังห้องใต้หลังคา

ต่อมา มาดาม เฮเลนา บลาวาตสกี ผู้วชาญโด่งดังเรื่องเร้นลับได้มาเยือนอาคารที่เก็บมัมมี่อาถรรพ์ขณะที่เข้าสู่อาคารเฮเลนาเป็นลม จับไข้ตัวสั่นเหมือนโดนผีเข้า จากนั้นจึงค้นหาที่มาของอำนาจชั่วร้ายที่มีพลังรุนแรงอย่างน่ากลัว ในที่สุดเฮเลนาก็มาหยุดอยู่ที่ห้องใต้หลังคาและได้พบกับโรงมัมมี่เจ้าของบ้านขอร้องเธอช่วยขับไล่อำนาจปิศาจมัมมี่ออกไป

ปิศาจนั้นย่อมเป็นปิศาจชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการได้ ฉันขอให้คุณรีบกำจัดปิศาจร้ายนี้โดยด่วนทว่าไม่มีพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษแห่งไหนยอมรับมัมมี่เลย เนื่องจากข่าวที่แพร่ว่า มีคนตายถึง 20 คนแถมยังประสบเหตุเคราะห์ร้ายและหายนะจากการเก็บรักษาหรือเกี่ยวข้องกับโลงพระศพมัมมี่นี้ตลอดที่ผ่านมา จนเป็นที่เล่าขานกันถึงอำนาจลึกลับนี้เรื่อยมา

ในที่สุดก็มีนักโบราณคดีอเมริกันผู้ไม่เชื่อถือในเรื่องอาถรรพ์ของมัมมี่ ยินดีจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อเคลื่อนย้ายมัมมี่มาที่นครนิวยอร์ก สั่งให้ขนส่งสมบัตินี้มาให้ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1912 โดยเรือโดยสารของบริษัทไวต์สตาร์ ลำใหม่หรูหรา นำเจ้าหญิงอาเมน-รา มาสู่นครนิวยอร์ก

โดยจัดส่งทางเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด
และใหญ่ที่สุด ในสมัยนั้น
นั่นคือ

เรือไททานิค เรือที่กล่าวกันว่า"ไม่มีวันจม"และถือว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด
แต่ครั้นจะขนย้ายหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผยก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น เลยจำต้องกระทำอย่างเป็นความลับทางฝ่ายขนส่งจัดการบรรจุหีบพระศพใส่ลังอย่างดี แล้วนำไปซ้อนไว้ใต้ท้องเรือ ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า มีหีบพระศพอียิปต์โบราณที่มีอาถรรพณ์ บรรทุกมากับเรือด้วย ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือ บริษัทผู้จัดส่งเท่านั้น
เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจาก เซ้าแธมป์ตัน (South Hamton) มุ่งสู่นิวยอร์ค (New York) ในราตรีของคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1912 ความหายนะอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนก็ปรากฏขึ้น กระทั่งถึงวันที่ 15 เมษา ทั่วโลกก็ต้องตะลึงงันกับข่าวที่ว่า"เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งอับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติค มีผู้โดยสารเสียชีวิตถึง 1,498 คน" ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าเรือไททานิคที่มีอุปกรณ์เดินเรือทันสมัย ทำไมถึงอับปางเร็วนัก หรือทำไมถึงต้องพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งเข้าอย่างจัง แต่บริษัทผู้รับจ้างขนหีบพระศพและบริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ทราบอยู่เต็มอกว่า เหตุที่เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งจนมีผู้เสียชีวิตมากมาย เพราะคำสาปของเจ้าหญิงอียิปต์โบราณ"อาเมน-รา"นั่นเองเรือไททานิคต้องคำสาป และถูกทำลายด้วยมนต์ตราโบราณอายุนับพันปี จนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีการกู้เรือมาได้เพราะความลึกประหนึ่งบาดาลนี่ละค่ะ ชะรอยเจ้า
หญิงองค์นี้คงต้องการอยู่อย่างสงบ ปราศจากการรบกวน
เธอจึงเลือกท้องน้ำ
ที่ลึกที่สุดพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก 1498 คน สงสารก็แต่ผู้คนที่จำเป็นต้องตามติดไปเป็นบริวารด้วยถึง 1,498 คน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเท่านั้น ที่ต้องมาสังเวยชีวิตเพราะ คำสาปไอยคุปต์แท้ๆ














ขอบคุณข้อมูลดีๆค่ะ

http://www.thaigoodview.com/node/62993
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1278569#ixzz1CVf1dBzb

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1280238#ixzz1CVfqsWb3

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1280238#ixzz1CVfT6Pvk

http://sites.google.com/site/5102350rsu/arc213-1/5102350_01

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1278569#ixzz1CVf1dBzb

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น