วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“ถั่ว” กินวันละ 1 กำมือ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ทักทายกันคร่าา เห็นหัวข้อแล้วหลายคนคงจะสงสัยกันสินะคะ

ว่าถั่วเม็ดเล็กๆเท่านิ้วมือเราเนี่ยจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้อย่างไรกัน

ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญเลื่อนเมาส์ลงไปอ่านต่อได้เลยค่ะ

นักวิจัยสเปนแนะนำด้วยความหวังดีว่า ให้กินถั่ววันละ 1 กำมือสักหนึ่งปี ร่วมกับกินอาหารสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีผักผลไม้และปลาเป็นหลัก จะช่วยล้างความเสี่ยง ต่ออันตรายของโรคหัวใจที่มีอยู่ในตัวให้หมดลงได้

พวกเขายังเห็นผลว่าการกินถั่วร่วมด้วย ยังให้คุณดีกว่าการบำรุงด้วยน้ำมันมะกอก อย่างที่ใช้อยู่ในอาหารแบบเมดิเตอร์ เรเนียนเสียอีก แม้ว่าทั้งสองอย่างจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ได้มากกว่าอาหารที่มีไขมันน้อยด้วยกัน
วารสารทางวิชาการ อายุรศาสตร์ ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษา เผยว่า ในการทดลองผู้ที่ได้รับผลดีที่สุดเป็นผู้ที่ได้รับการแนะนำให้
กินถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์ และถั่วเฮเซล แม้ว่าโดยเฉลี่ยจะไม่ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่เกือบทุกคนก็พุงยุบ และปริมาณไขมันในเลือด และความดันเลือดลดต่ำลง

ดร.จอร์ดิ วาลาส วลวาโด แห่งมหาวิทยาลัยโรวิรา ไอ เวอร์จิลิ ของสเปน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวบอกว่า อาหารพวกถั่วช่วยให้อิ่มเร็วและยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ทั้งยังอุดม ด้วยสารป้องกันการอักเสบอีกด้วย.

เห็นมั้ยละคะ ว่าถึงจะเป็นเพียงเม็ดถั่วเม็ดเล็กๆ แต่ก็สามารถทำคุณประโยชน์ ให้กับเรา

ได้มากมายขนาดนี้ ถือได้ว่าเป็น จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆเลยค่ะ


“กะหล่ำปลี” มีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็ง

กะหล่ำปลี” เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่า หากินง่ายในบ้านเรา กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป โดยชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่เริ่มปลูกกะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีประโยชน์ตรงที่เป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูง แถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก คนในสมัยโบราณใช้กะหล่ำปลีเป็นยา ว่ากันว่ากะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง ดังนั้นกะหล่ำปลีจึงถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน

ปัจจุบันมีคนให้ความสนใจกะหล่ำปลีกันมากเนื่องจากมีการทดลองหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เช่น มีการทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้

จากผลวิจัยเหล่านี้ทำให้เชื่อกันว่า การบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% กินกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็งในช่องท้อง และการกินกะหล่ำปลีสดก็จะดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วยเพราะจะไม่สูญเสียวิตามินไปกับความร้อนมากนัก

แต่ในบ้านเรา กะหล่ำปลีถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนกินต้องแน่ใจว่าล้างสะอาดปราศจากสารพิษแล้ว


ทานแยมและเยลลี่ช่วยเพิ่มพลังต้านมะเร็ง

คุณรู้ไหมว่า แยมและเยลลี่มีสารเพกตินซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งได้

สถาบันวิจัยอาหารแห่งสหราชอาณาจักรค้นพบว่า แยมและเยลลี่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ โดยศาสตราจารย์วิก มอร์ริส เจ้าของงานวิจัยกล่าวว่า

“ทั้งแยมและเยลลี่อุดมไปด้วยเพกติน ใยอาหารธรรมชาติที่พบในผักผลไม้ เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นแยมและเยลลี่ เพกตินจะปล่อยโมเลกุลชนิดหนึ่งออกมาซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของ มะเร็งอย่างได้ผล”

แม้เพกตินในผักผลไม้แปรรูปจะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยชี้ชัดว่าในผักผลไม้สดจะมีคุณสมบัติเหมือนกันหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไม่ควรมองข้ามประโยชน์จากผักผลไม้สด ใครที่อยากได้ประโยชน์จากเพกติน ต้องกินผลไม้ตระกูลส้มและแอ๊ปเปิ้ล โดยเฉพาะส่วนผิวและแกนจะมีเพกตินมากที่สุด

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

หัวข้อของบทความนี้อาจทำให้งงได้ เพราะทำให้เกิดความสงสัยว่า ในเมื่อนมเปรี้ยวสามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกได้ เหตุใดจึงยังสามารถแก้ไขปัญหาท้องเสียได้ด้วย ซึ่งเป็นอาการที่ตรงข้ามกัน แต่หัวข้อนี้ไม่ผิด นมเปรี้ยวมีคุณสมบัติเช่นนี้จริง ๆ เพียงแต่ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องผูกได้ทุกคน และก็ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องเสียได้ทุกกรณี

คราวนี้เรามาดูกันในส่วนประกอบว่า นมเปรี้ยวนั้นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักนมขาดมันเนย ด้วยแบคทีเรียที่ดี 2 ชนิด คือ Lactobacilli และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ของทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ดื่มนมเป็นประจำ เมื่อหมักนมวัวนี้ด้วยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดในเวลาและอุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำตาลแลคโตสในนมวัวจะถูกย่อยสลายหมดไป กลายเป็นกรดแฟตตี้ที่มีโมเลกุลสั้น คือ Acetic, Butyric และ Propionic acid กรดแฟตตี้ทั้ง 3 นี้ ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ในขั้นตอนสุดท้ายมีการเติมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้ชวนดื่ม ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย นมเปรี้ยวเหล่านี้จึงมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จำนวนมาก โดยไม่มีน้ำตาลแลคโตสหลงเหลืออยู่ จึงแก้ไขปัญหาคนที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสียได้ เนื่องจากปัญหาการที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ และเนื่องจากมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ให้มีอุณหภูมิใกล้ 4 องศา เพื่อไม่ให้แบคทีเรียนี้มีการหมักน้ำตาลอีกต่อไป เวลาจำหน่ายจึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.

สับปะรดช่วยระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สับปะรดมีวิตามินซีที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ฯลฯ

สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่าค่ะ

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น


มะกรูด ขับลมในกระเพาะ แก้อาเจียนเป็นเลือดด้วย

รักทุกฤดู ost. ละครช็อคโกแลต 5 ฤดู - น้ำชา ชีรณัฐมะกรูด เป็นพืชในสกุลส้ม มีผลมีเขียวเข้ม เปลือกเป็นปุ่มป่ำ เนื้อข้างในมีน้ำแต่ไม่มากอย่างส้มชนิดอื่น ๆ ใบมีสีเขียวเข้ม มีกลิ่นฉุน ส่วนที่ใช้เป็นยาสมุนไพร ใบ ผล และราก ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง หากมีการตัดแต่งกิ่งยอดจะแยกออกมาเร็วมาก และยังเป็นพืชที่ทำรายได้ให้เกษตรกรด้วย

ในน้ำมะกรูด มีกรดซิตริก เป็นสารหลัก คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี และในผิวมะกรูดมีน้ำมันหอม

สรรพคุณและวิธีใช้

- น้ำในลูก ขับลมในลำไส้ แก้น้ำลายเหนียวแก้ปวดท้อง แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน บีบน้ำมะกรูดลงคอ 5-6 หยด ทุก 5-10 นาที แก้ไอช่วยละลายขับเสมหะ แต่ควรให้ถูกฟันน้อยที่สุด เพราะเป็นกรดจึงอาจทำลายเคลือบฟันได้

- ผิวลูกมะกรูด ขับลมในลำไส้ ปรุงเป็นยาลม ขับระดู แก้ปวดท้อง

- ใบ แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำใน มีสารต้านมะเร็ง

- ราก แก้ไข้ แก้กำเดา ถอนพิษ แก้ลมจุกเสียด แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะ

- ลูกมะกรูด นำมาดองกินเป็นยาฟอกและบำรุงเลือด

นอกจากนี้มะกรูดยังใช้ประกอบอาหารได้ด้วย แต่นิยมนำใบมาปรุงแต่งและปรุงรสอาหาร โดยเฉพาะนำมาใส่ในแกงกะทิและแกงพวกเนื้อดับกลิ่นคาว หรือโรยหน้าห่อหมก และยอดอ่อนสามารถเก็บมาจิ้มกับน้ำพริกได้ด้วย


เบอร์เกอร์มังสวิรัติ


สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกแล้วนะคะ
วันนี้ขอนำเสนอเมนูเพื่อสุขภาพค่ะ
ซึ่งนั่นก็คือ "เบอร์เกอร์มังสวิรัติ" นั่นเองค่ะ
เอ...หลายคนคงจะสงสัยกันสินะคะว่า
เจ้าเบอร์เกอร์มังสวิรัติที่ว่าเนี่ยมันมีวิธีทำยังไง
และจะหน้าตาเหมือนกับเบอร์เกอร์โดยทั่วไป
ที่เรากินรู้จักกันหรือไม่
ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญได้ดูวิธีทำกันให้หายสงสัยกันเลยดีกว่าค่ะ

เริ่มต้นก็ที่ส่วนผสมกันก่อนค่ะ

ส่วนผสม
ข้าวกล้องเพาะงอกหุงสุก 1 ถ้วย หอมใหญ่หั่นแว่น 4 ชิ้น
เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วย แตงกวาหั่นแว่น 4 ชิ้น
งาดำและงาขาว 1 ช้อนชา โยเกิร์ตมัสตาร์ด 1-2 ช้อนชา
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทุบหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันรำข้าว 1 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา ขาเห็ดหอมปรุงรส(ชนิดปรุงสำเร็จ) 1/4 ถ้วย
มะเขือเทศหั่นแว่น 4 ชิ้น
ส่วนผสมโยเกิร์ตมัสตาร์ด
โยเกิร์ต 1 ถ้วย ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
มัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ กะหล่ำปลีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
-
นำข้าวกล้องเพาะงอก เกล็ดขนมปัง 1/2 ถ้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาดำ งาขาว และเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วอัดใส่พิมพ์วงกลม
-
นำส่วนผสมออกจากพิมพ์แล้วคลุกกับเกล็ดขนมปังที่เหลือ ทอดกับน้ำมันจนสุก
-
นำมาตัดแบ่งครึ่ง ชิ้นหนึ่งวางมะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ แตงกวา ขาเห็ดหอม ส่วนอีกชิ้นทาโยเกิร์ตมัสตาร์ดให้ทั่วแล้วนำมาวางประกบกัน ยกเสิร์ฟ



วิธีทำโยเกิร์ตมัสตาร์ด : คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน

credit: http://www.yourhealthyguide.com/

ส้มตำข้าวโพด

ส้มตำ+ข้าวโพด จะหน้าตาเป็นยังไงและอร่อยมั้ยหนอ?? งงกันไปเลยใช่มั้ยหละค่ะ สำหรับเมนูครั้งนี้ แต่ก็ขอรับรองค่ะว่าทั้งอร่อยและก็มีคุณประโยชน์แน่นอนเพราะทั้งข้าวโพดจะอุดมไปด้วยวิตามินเอแล้ว มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เส้นใยอาหาร และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก ช่วยบำรุงสุขภาพ ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงายได้ดีอีกด้วยค่ะ ประกอบกับส่วนประกอบในการทำส้มตำเช่นพริก มะเขือเทศ แครอท และกระเทียมแล้ว ถือว่าเป็นการผสมผสานกันที่ให้ประโยชน์มากทีเดียวค่ะ

ว่าแล้วเราไปรู้จักวิธีทำไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

ส่วนผสม

ข้าวโพดต้มฝักขนาดปานกลาง 1 ฝัก
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 4-5 เม็ด
แครอทขูดฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศ 1 ผล
กระเทียม 4-5 กลีบ
น้ำตาลปีบ 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วฝักยาว 2-3 ฝัก


วิธีทำ
-
แกะหรือฝานเอาเมล็ดข้าวโพดต้้ม เพื่อเตรียมทำเป็นส้มตำ เมื่อเอาเมล็ดข้าวโพดออกมาแล้ว ให้นำไปพักไว้ก่อน
-
ตำพริก กระเทียม และถั่วฝักยาวแค่พอแตกไม่ต้องให้แหลกมากนัก
-
ปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ น้ำปลา และน้ำมะนาว (หรือน้ำมะขามเปียก) ชิมรสให้ได้เปรี้ยวหวานถูกปาก
-
นำเมล็ดข้าวโพด มะเขือเทศหั่นซีก ตามด้วยแครอทขูดฝอย ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วตักจากครกใส่จาน

credit: http://www.yourhealthyguide.com/